นับตั้งเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันและทองคำก็เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันมาตลอดทั้งจากควางกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์บานปลายจนกลายเป็นสงครามใหญ่โตในภูมิภาค ซึ่งจะกระทบกับการผลิตและขนส่งน้ำมันได้
ประกอบกับประเทศอิหร่านซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มฮามาส รวมไปถึงการโจมอิสราเอลโดยตรง โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้กรณีที่อิสราเอลโจมตีสถานกงสุลอิหร่านในซีเรีย ทำให้นายพลระดับสูงอิหร่าน 2 นาย เสียชีวิตเมื่อต้นเดือน เม.ย. ทำให้ทั้งราคาน้ำมันและทองคำพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากน้ำมันดิบยังคงเป็นวัตถุดิบตั้งต้นพื้นฐานที่สำคัญต่อระบบอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะถูกนำไปสกัดเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วยังมีผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลี่ยมชนิดอื่นอีกจำนวนมาก หมายความว่าหากน้ำมันดิบหายไปจากท้องตลาดจะต้องทำให้ราคาน้ำสูงขึ้น และต้นทุนสินค้าพุ่งขึ้นตามไปด้วย
นั่นหมายความว่าสภาวะเงินเฟ้อจะต้องตามมา ทำให้มีทั้งนักลงทุนกลุ่มที่เร่งซื้อน้ำมันเพราะกังวลว่าราคาน้ำมันจะแพงไปกว่านี้ และนักลงทุนอีกกลุ่มที่เข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ
แต่หลังจากที่เกิดการปะทะกันไปมาจนเมื่อวันที่ 19 เม.ย. ทางการอิหร่านแจ้งว่าจะไม่มีการโจมตีกลับไปยังอิสราเอลอีก ทำให้ราคาน้ำมันเริ่มปรับฐานพร้อมกับทองคำจนเมื่อถึงวันที่ 1 พ.ค. ราคาน้ำมันดิบได้ลดลงจากจุดสูงล่าสุดตอนต้นเดือน เม.ย. ถึงกว่า -10% เช่นเดียวกับราคาทองคำ
หากยังไม่มีความขัดแย้งอื่นในพื้นที่ตะวันออกลางปะทุขึ้นมาเพิ่มเติมหลังจากนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ทั้งราคาน้ำมันและทองคำจะปรับฐานต่อเนื่องลงไปถึงระดับราคาก่อนที่ขะเกิดความวุ่นวายขึ้น