ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่จะได้รับความสนใจจากสาธารณชนทุกครั้งที่สร้างจุดสูงสูงใหม่ และมักมีภาพของคนไปต่อแถวอยู่หน้าร้านทอง พร้อมบทสัมภาษณ์ของนักลงทุนบางส่วนว่าได้กำไรกันเท่าไหร่บ้าง ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญก็จะถูกสื่อรุมสอบถามถึงราคาในอนาคต

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาราคาทองคำแท่งในประเทศไทยเป็นบวกถึง 7 ปี คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นของราคากว่า 44% และหากย้อนกลับไปไกลถึง 20 ปี จะเป็นการปรับเพิ่มขึ้นถึง 425% คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 20% ต่อปี บนความเสี่ยงที่น้อยที่สุดในบรรดาสินทรัพย์ทางการเงิน

แต่ผลตอบแทนนั้นเกิดจากการซื้อที่ต้นทุนต่ำเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว หากเป็นการลงทุนใหม่ทุกปีแน่นอนว่าผลตอบแทนจะต้องลดต่ำลง

จากข้อมูลของสภาทองคำโลกได้ทำการคำนวณผลตอบแทนอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (Compound Annual Growth Rate:CAGR) ของทองคำแท่งในช่วงเวลา 20 ปี (2002-2022) จะให้ผลตอบแทนประมาณ 8% ต่อปีเท่านั้น

การคาดหวังผลตอบแทนจากทองคำไปมากกว่า 8% จึงอาจเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนทั่วไป แต่หากเรากระจายสัดส่วนในการถือครองสินทรัพย์ต่างๆให้เหมาะสมโดยมีทองคำอยู่ประมาณ 5-10% จะสามารถรักษาอัตราการเติบโตของความมั่งคั่งโดยรวมของเราได้ เพระในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ ราคาทองคำก็มักจะพุ่งสูงทำให้เรามีโอกาสขายทองคำเพื่อทำกำไรออกไปและเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์เสี่ยงอื่นซึ่งมีโอกาสกลับขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้งเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเติบโตตามรอบของวัฏจักร

และในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูนั้นเองที่ราคาทองคำมักจะลดลงทำให้เรามีโอกาสทำกำไรจากสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อนำเงินกลับมาซื้อทองคำจนมีสัดส่วนปริมาณเท่าเดิมอีกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปหลายรอบวัฏจักร การเติบโตแบบทบต้นที่ 8% ต่อปีก็สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นเท่าตัวใน 10 ปีได้ โดยแทบไม่มีความเสี่ยงเลย