ทองเริ่มชะลอตัวแม้ เฟด ไม่ขึ้นดอก

ทองเริ่มชะลอตัวแม้ เฟด ไม่ขึ้นดอก
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันพุธที่ 1พ.ย. ที่ผ่านมาซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี โดยการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 11 ครั้งติดต่อกันนับตั้งแต่เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค.2565 ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 5.25% แล้ว
เฟด แสดงความเห็นว่าการจ้างงานและตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้นยังแข็งแกร่งโดยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ ในไตรมาส 3 ปี 66 ขยายตัวสูงกว่าคาดที่ 4.9% ต่อปี ท่ามกลางการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของเฟดต่อไป
ก่อนหน้านี้
ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ จึงเริ่มปรับฐานลงเล็กน้อยเพราะกระแสเงินทุนเริ่มไหลออกไปยังฝั่งยุโรปและตลาดเกิดใหม่อื่นๆ รวมไปถึงทองคำซึ่งมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้นจากการเก็งกำไรระยะสั้น
สำหรับประเด็นที่สนับสนุนให้ทองคำน่าเล่นเก็งกำไรต่อไปยังคงเป็นประเด็นการสู้รบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส เมื่ออิสราเอลเริ่มใช้ปฏิบัติการโจมตีทางภาคพื้นดินในฉนวนกาซา ก็ทำให้ตลาดวิตกกังวลว่าความขัดแย้งครั้งนี้อาจจะลุกลามในตะวันออกกลางซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผลิตน้ำมันในอัตราส่วน 1 ใน 3 ของผลผลิตน้ำมันทั่วโลก แต่ล่าสุดนักลงทุนประเมินสถานการณ์ว่า ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสอาจจะไม่ส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง
เนื่องจากมีกระแสเรียกร้องและความพยายามจากนานาชาติให้เกิดสันติภาพขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่คู่ขัดแย้งทั้งอิสราเอลและกลุ่มฮามาสก็ยังคงไม่แสดงท่าทีที่แน่ชัดว่าจะยอมสงบศึกกัน จึงทำให้ราคาทองคำยังคงผันผวนอยู่ในระดับราคาที่สูงต่อไปได้
เนื่องจากยังมีความเป็นไปได้ที่ประเทศรอบข้างอื่นๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับอิสราเอลนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่างอิหร่าน หากมีประเทศเหล่านี้เข้าร่วมสงครามอย่างเต็มตัวก็อาจทำให้เกิดการคว่ำบาตรจากชาติพันธมิตรของอิสราเอล หรืออาจมีเหตุอื่นที่ทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกลดลง และส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นได้เหมือนกรณีของรัซเซียที่ยกกองทัพเข้ารุกรานยูเครน ซึ่งราคาน้ำมันและราคาทองคำปรับตัวขึ้นทันทีเมื่อกลุ่มชาติตะวันตกประกาศไม่ซื้อเชื้อเพลิงจากรัซเซีย
ดังนั้นประเด็นของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จึงส่งผลกระทบต่อราคาทองคำได้อย่างจำกัดมากกว่าที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ หรือหากสงครามจบลงก็ยังไม่มีหลักฐานว่ากลุ่มก่อนการร้ายจะยอมให้เกิดสันติภาพขึ้นในพื้นที่ ราคาทองคำจึงมีโอกาสสสูงที่จะลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนกลับไปสู่งระดับราคาที่อัตราดอกเบี้ยของธนาคารสหรัฐฯ มีอิทธิพลอย่างแท้จริง
โดยราคาทองคำอาจถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์เช่นนี้ต่อไปถึงแม้ว่าเฟดจะไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยอีกก็ตาม เพราะอัตราผลตอบแทนที่แน่นอนจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สูงเช่นนี้ย่อมดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนที่ต้องการลดผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อซึ่งจะแย่งเม็ดเงินจากตลาดทองคำ
อ้างอิงจากการลดลงของราคาทองคำตั้งแต่ระดับ 1,950-1,820 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งผ่านการประชุมของเฟดในเดือน ก.ย. และ ต.ค. โดยไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งสองครั้ง เป็นหลักฐานว่าราคาทองคำกำลังถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยอย่างมาก
หน้าหลัก ปรึกษาฟรี! คลิกที่นี่ เมนู